Content หรือ บทความ ถือเป็นหัวใจสำคัญของการทำ SEO ที่ผู้ใช้งานจะเสิร์ชหาจาก Keyword หรือคำสำคัญที่ต้องการ เพื่อให้มาเจอกับบทความบนเว็บไซต์ของเรา ซึ่งถ้าหากเราสร้าง Content หรือบทความให้มีความเกี่ยวข้อง มีคุณภาพ และมอบคุณค่าให้กับผู้อ่านได้จริงจนเกิดการติดตามหรือแชร์ต่อเรื่อยๆ เราก็จะได้รับยอดผู้เข้าชมเว็บไซต์โดยที่ไม่ต้องเสียเงินโปรโมท SEO มากมายเลยด้วย ซึ่งเทคนิคที่จะทำให้ Content หรือบทความ ของเราติดอันดับบน Google ได้ ก็คือการใช้ Keyword หรือคำสำคัญที่อยากให้คนเสิร์ชเจอได้อย่างถูกต้องและตรงจุด ดังนี้

– วิธีคิดคีย์เวิร์ดสำหรับทำ SEO สามารถคิดออกมาได้ 3 แบบคือ เลือกใช้คีย์เวิร์ดจากมุมที่เราต้องการนำเสนอ, เลือกใช้คีย์เวิร์ดจากมุมที่ผู้ใช้งานจะเสิร์ชหา และใช้เครื่องมือ Keyword Research เพื่อเป็นตัวช่วยในการค้นหาคำ อย่าง Google Keyword Planner, Ubersuggest, Keysearch เป็นต้น

– ควรเลือกใช้คำง่ายๆ ที่คนทั่วไปจะใช้เสิร์ชหาบนกูเกิ้ล

– ควรกระจายคีย์เวิร์ดให้เป็นธรรมชาติ ไม่ควรใส่มากเกิน 2.5% จากสัดส่วนของปริมาณ Text ทั้งหมดในบทความ

– หากอยากทำบทความ SEO ให้มีคุณภาพ ความยาวของ Text ที่ควรมีในบทความคือ 500-1,000 คำขึ้นไป

– ยอดการแชร์บนโซเชียลมีเดียก็มีผลต่อ SEO เช่นกัน ดังนั้นเวลาจะเลือกเขียนบทความอะไร ต้องอย่าลืมคำนึงถึงหัวข้อที่กำลังเป็นกระแส หรือเลือกเขียนหัวข้อที่คนส่วนใหญ่อยากรู้จะดีที่สุด

– ควรมีความสม่ำเสมอในการลงบทความ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กูเกิ้ลเห็น และยังสามารถสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้อ่านอยู่เรื่อยๆ ได้อีกด้วย

เมื่อเราทราบวิธีและเทคนิคการคิดคีย์เวิร์ดที่ต้องการแล้ว ลองมาดูตำแหน่งการวางคีย์เวิร์ดในแต่ละส่วนเพื่อให้ SEO ของเรามีประสิทธิภาพกันเถอะค่ะ เพราะกูเกิ้ลเองก็ดันให้ความสำคัญกับเนื้อหาแต่ละส่วนไม่เท่ากัน จึงแบ่งตำแหน่งในการวางคีย์เวิร์ดสำหรับ SEO ออกมาเป็น 5 ตำแหน่ง ดังนี้

  1. Title (ชื่อบทความ)
    จะถูกแสดงบน Title Bar และแสดงในผลการค้นหาบนบรรทัดแรกของกูเกิ้ล ควรมีความยาวไม่เกิน 70 ตัวอักษร
  2. URL (ชื่อลิงก์ของบทความ)
    ถ้าคีย์เวิร์ดเป็นภาษาอังกฤษ การใส่คีย์เวิร์ดในส่วนนี้ก็จะเป็นไปได้อย่างสวยงามมาก เพราะข้อเสียของการใช้คีย์เวิร์ดที่เป็นภาษาไทย จะทำให้ URL ของเราดูไม่สวย และเกิดความเละเทะเป็นภาษาต่างดาวได้เวลานำไปแชร์ต่อ
  3. Description (คำบรรยายบทความ)
    ซึ่งก็คือย่อหน้าแรกของบทความ แต่ถ้าหากใช้ WordPress ก็สามารถโหลด SEO Plugin เพื่อแก้ไขและปรับเปลี่ยน Description เองได้เช่นกัน ควรมีความยาวไม่เกิน 200 ตัวอักษร
  4. Headings (หัวข้อสำหรับทำ SEO ในบทความ)
  5. ชื่อภาพ และ Alt text ของภาพ
    หลายคนอาจมองข้ามตรงส่วนนี้ไป แต่รูปภาพที่ใช้ในบทความก็มีผลต่อ SEO ด้วยเช่นกัน ดังนั้นก่อนอัปโหลดรูปภาพทุกครั้งจึงควรตั้งชื่อภาพให้มีคีย์เวิร์ด และใส่คีย์เวิร์ดใน Alternative Text ด้วย เพราะถ้าเกิดเวลารูปภาพมีปัญหาหรือไม่แสดง ก็จะสามารถอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับรูปภาพนั้นได้ว่าคืออะไร